น้ำมันหมู น้ำมันพืช แตกต่างกันอย่างไร อะไรดีกว่ากัน?
น้ำมันที่ใช้ทำอาหารนั้นมีมากมายหลายชนิด ที่นิยมนำมาใช้กันก็มีอยู่ 2 อย่างก็คือ น้ำมันหมู น้ำมันพืช แล้วน้ำมันทั้ง 2 อย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร น้ำมันอะไรดีกว่ากัน?
ในความเป็นจริงแล้วหากนำสัดส่วนของน้ำมันหมูมาเทียบกับน้ำมันพืช หรือน้ำมันปาล์มแล้วปริมาณสัดส่วนค่อนข้างที่จะใกล้เคียงกันแต่ว่าในส่วนไขมันอิ่มตัวของน้ำมันหมูจะมีมากว่าน้ำมันพืชเล็กน้อย ซึ่งหากเรารู้จักประเภทของน้ำมัน และนำไปใช้ให้ถูกประเภทน้ำมันแต่ละชนิดก็จะให้ประโยชน์มากกว่าโทษ
น้ำมันหรือไขมันในธรรมชาตินั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 3 ประเภท
1. ไขมันอิ่มตัว
เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม น้ำมันหมู เป็นต้น หากบริโภคมากเกินไปจะมีผลต่อร่างกายคือมันจะทำใ ห้ LDLหรือไขมันชนิดความแน่นต่ำ (เป็นไขมันชนิดไม่ดี) ที่มีผลในการเพิ่มและมันก็จะส่งผลทำให้ไปเพิ่มคลอเรสเตอรอลด้วยเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าไขมันอิ่มตัวนั้นจะมีแต่ข้อเสียซึ่งข้อดีของไขมันอิ่มตัวก็มีเช่นกันคือไขมันอิ่มตัวนั้นมีค่าความคงตัวที่สูงเพราะฉะนั้นเมื่อนำน้ำมันที่มีความอิ่มตัวมากไปทอดในความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงก็จะไม่มีควัน และทำให้อาหารที่ทอดออกมานั้นมีความกรอบและยังคงคุณภาพไว้เช่นเดิม
2. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว
เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโบลา น้ำมันรำข้าว เป็นต้น ไขมันประเภทนี้เป็นกรดไขมันที่จะมีจุดไม่อิ่มตัวอยู่ 1 ตำแหน่ง และเป็นกรดไขมันที่ให้พลังงานเช่นกันแต่ว่าในเรื่องของการให้ความร้อนนั้นไขมันประเภทนี้จะเป็นไขมันที่ทนความร้อนได้ในระดับหนึ่งที่อุณหภูมิไม่สูงมากเหมือนกับไขมันอิ่มปกติ ซึ่งข้อดีของมันก็คือไขมัชนิดนี้สามารถให้พลังงานได้เช่นกันแต่ว่าไม่มีผลต่อการเพิ่มหรือลดคลอเรสเตอรอล ฉะนั้นไขมันชนิดนี้จึงเป็นตัวนำสารอาหารต่างๆ ได้ดีเลยทีเดียว
3. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน เป็นต้น ไขมันชนิดนี้เป็นกรดไขมันที่มีความไม่อิ่มตัวอยู่ด้วยกันหลายตำแหน่งทำให้มีข้อดีก็คือมันจะส่งผลทำให้คลอเรสเตอรอลที่ไม่ดีต่อร่างกายลดลง แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงมีข้อเสียเช่นกันเนื่องจากไขมันชนิดนนี้มันจะไม่ทนต่อความร้อนมีอุณหภูมิสูง หากน้ำไปทอดหรือนำไปผัดทำให้ไขมันชนิดนี้มีกลิ่นที่หืนง่ายกว่าไขมันชนิดอื่นๆ และเมื่ออาหารหืนง่ายสิ่งที่ตามมาก็คือตัวอนุมูลอิสระ ซึ่งอนุมูลอิสระนี้เองจะเป็นตัวที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้นั้นเอง
น้ำมันอะไรเหมาะกับอาหารประเภทไหนกันบ้าง
1. น้ำมันปาล์ม เหมาะกับการทอดกรอบ.
2. น้ำมันถั่วเหลือง เหมาะกับการผัด และการทำน้ำสลัด
3. น้ำมันรำข้าว เหมาะสำหรับการผัด และการทำน้ำสลัด
ข้อแนะนำในการรับบริโภคน้ำมัน
ทางองค์การอนามัยโลกได้แนะนำไว้ก็คือสัดส่วน 1:1:1 หรือก็คือการบริโภค ไขมันอิ่มตัว 1 ส่วน ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 1 ส่วน และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 1 ส่วน ซึ่งเห็นได้ว่าไขมันทุกตัวนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกันหมด เพราะในความเป็นจริงแล้วการรับประทานอาหารที่หลากหลายนั้นดีที่สุด
อาหารจานด่วน ที่มีประโยชน์มากกว่าที่ถูกตราหน้าว่าเป็นอาหารสิ้นคิด