การค้นพบโดยบังเอิญของสิ่งของ 10 อย่าง และหนึ่งในนั้นก็คือ ไมรโครเวฟ
การค้นพบโดยบังเอิญ ของสิ่งของ 10 อย่าง
มีสิ่งของหลายอย่างบนโลกใบนี้ที่มาจาก การค้นพบโดยบังเอิญ เรามาดูของใกล้ๆตัว 10 อย่างที่ถูกค้นพบด้วยความบังเอิญว่ามีอะไรบ้าง
1. ไมโครเวฟ
เพอร์ซี สเปนเซอร์ (Percy Spencer) ซึ่งทำงานที่บริษัทเรธีออน (Raytheon) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง วันหนึ่งในขณะที่เขากำลังสร้างแมกนีตรอนสำหรับใช้ในระบบเรดาห์ แล้วเขาพบว่า แท่งช็อกโกแลตที่เขาพกมาทานเป็นประจำนั้นละลายจนกระเป๋าเสื้อนั้นเลอะเทอะไปหมด และเขาก็เข้าใจทันทีว่า คลื่นไมโครเวฟ ที่ผลิตจากแม็กนีตรอนนั้นสามารถทำให้อาหารสุกได้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1946 เพอร์ซี สเปนเซอร์และคณะได้ทำการจดลิขสิทธิ์ไมโครเวฟ ให้ใช้เป็นอุปกรณ์ ในการปรุงอาหาร
2. เทฟลอน
ในปี ค.ศ.1938 ด็อกเตอร์ รอย เจ พลันเค็ต (Roy J. Plunkett) นักเคมีชาวอเมริกัน ได้ทำการทดลองค้นคว้าหาสารทำความเย็นใหม่ๆ เพื่อใช้ดูดความร้อนในตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ โดยผสมแก็สฟรีออนลงไปในขวดเพื่อให้ได้แก็สตัวใหม่ออกมา เขาได้ทิ้งขวดไว้ข้ามคืนเพื่อให้ทิ้งส่วนผสมดังกล่าวเย็นตัวลง วันรุ่งขึ้นเขาพบว่าส่วนผสมดังกล่าวกลายเป็นของแข็งติดแน่นอยู่กับผิวขวดด้านใน ซึ่งสารดังกล่าวมีความลื่น ทนความร้อนสูงและทนต่อการทำให้หลอมละลาย ด็อกเตอร์ รอย ตั้งชื่อสารชนิดนี้ว่า « เทฟลลอน Teflon »ในปี ค.ศ. 1945 และสารเทฟลอนถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์ทางทหาร หรืออาวุธในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั้งปัจจุบันถูกนำมาเคลือบภาชนะต่างๆในการหุงต้ม
3. หมากฝรั่ง
เมื่อปลายปี ค.ศ. 1860 โทมัส อดัมส์ นักประดิษฐ์ ชาวนิวยอร์ก ได้พยายามที่จะเปลี่ยนยางไม้จากต้นไม้ในป่าเม็กซิโก ที่ชาวเม็กซิโกเรียกกันว่า “ชิคลิ” (Chicle) ให้กลายเป็นยาง เขาทำการทดลองหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ด้วยความผิดหวังเขาเลยเอามันใส่ปากแล้วลองเคี้ยวดู ปรากฏว่าเขาชอบรสชาติของยางชิคลิ ด้วยความที่เขาสั่งซื้อมาเยอะ เลยนำมันมาหั่นเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมแบนๆ วางขายภายใต้ชื่อการค้า “หมากฝรั่งอดัมส์นิวยอร์ก” ราคาแผ่นละ 1 เพนนี ในปี ค.ศ. 1871 รูปภาพข้างล่างเป็นหมากฝรั่งของอดัมส์ที่ออกวางจำหน่ายในยุคแรกๆ
4. คุ้กกี้ช็อกโกแลตชิพ
ในปี 1930 รูท เวคฟิลด์ (Ruth Wakefield) ภรรยาเจ้าของโรงแรม The Toll House Inn ซึ่งเป็นโรงแรมเล็กแห่งหนึ่งในแมสซาชูเซตส์ ในขณะที่เธอกำลังจะทำคุ้กกี้ช็อกโกแลตแบบธรรมดาแต่เนยช็อกโกแลตหมด เธอเลยเอาช็อกโกแลตแท่งรสหวานของเนสท์เล่มาหักเป็นชิ้นเล็กๆแล้วใส่ลงไปในแป้งคุกกี้ที่นวดไว้แล้ว โดยคิดว่าหลังนำไปอบเศษช็อกโกแลตนั้นจะละลาย แต่ช็อกโกแลตที่เธอใช้นั้นละลายแค่นิดหน่อย ไม่หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับคุ้กกี้
ต่อมามีลูกค้าชาวอังกฤษมาพักที่โรงแรม แล้วเกิดความสนใจคุกกี้ชนิดใหม่ของเธอมาก จึงขอซื้อสูตรการทำคุ๊กกี้ช็อกโกแลตชิพกับเธอ รูท เวคฟิลด์ ได้ขายสูตรให้กับ บริษัท เนสท์เล่ ต่อมาช็อคโกแลตชิพคุกกี้กลายเป็นขนมที่มีชื่อเสียงระดับโลก ในยุคแรกๆ รูปของ Ruth Wakefield และสูตรในการทำช็อคโกแลตชิพคุกกี้ถูกพิมพ์ลงบนหีบห่อช็อกโกแลตแท่งชนิดหวานของเนสท์เล่ด้วย
5. ขัณฑสกร (Saccharin)
ในปี ค.ศ.1879 คอนสแสตนติน ฟาห์ลเบอร์ก (Constantine Fahlberg) นักเคมีซึ่งทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกิ้น ประเทศสหรัฐอเมริกา คืนหนึ่งหลังจากทำการทดลองเสร็จแล้วเขาลืมล้างมือก่อนทานอาหารเย็น แล้วพบว่าขนมปังมีรสหวานผิดปรกติ เขาจึงกลับไปชิมสารต่างๆในห้องทดลอง จนพบว่ารสหวานดังกล่าว มาจากสารแซคคารีน (Saccharin) และเขายังพบอีกด้วยว่าสารแซคคารีนนั้น ให้พลังงานน้อยมาก ต่อมาเขาได้ดำเนินการขอจดสิทธิบัตรสารแซคคารีน
6. กาวซุปเปอร์กลู (Super Glue)
ตลอดระยะเวลาที่ทำงานในห้องทดลองของบริษัทโกดัก (Kodak) ประเทศสหรัฐอเมริกา ดร.แฮรี่ คูเวอร์ (Dr.Harry Coover) ได้พยายามสร้างกาวที่มีชื่อว่าไซยาโนอะคริเลตขึ้นมา ในปี ค.ศ. 1942 หกปีต่อมาเขาย้ายมาทำงานที่บริษัทอีสต์แมน (Eastman) ในขณะที่เขากำลังทำงานวิจัยเรื่องหลังคาของเครื่องบินเจ็ต ด้วยบังเอิญเมื่อเขาใช้กาวตัวนี้ติดปริซึ่ม 2 แท่งเข้าด้วยกัน แล้วเขาก็พบว่ามันติดกันแน่นจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความร้อนเลย ดร.แฮรี่ คูเวอร์ ได้ทำการจดสิทธิบัตรกาวซุปเปอร์กลู ในปี ค.ศ. 1956
Super Glue กาวมหัศจรรย์ ที่มีความทนทานต่อแรงดึงสูง เพียงทากาวลงบนพื้นผิว 1ตารางนิ้ว ก็สามารถที่จะยกวัตถุน้ำหนัก 1 ตันให้สูงขึ้นได้
7. รังสีเอกซ์เรย์
ในปี ค.ศ. 1895 นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Conrad Roentgen) ซึ่งทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยเวิร์ซแบร์ก ขณะที่เขากำลังทำการทดลองด้วยการผ่านรังสีแคโทด เข้าไปในหลอดกระดาษแข็งที่ปิดแสงจนมืดสนิท แล้วรังสีแคโทดที่ผ่านออกมาจากหลอดทดลอง สามารถทำให้แผ่นกระดาษแข็งทาสารแบเรียมปลาติโนไซยาไนด์ที่อยู่ห่างออกไปสามารถเรืองแสงขึ้นด้วย เขาจึงตั้งชื่อรังสีนี้ว่า “X-rays” หรือ รังสีเอกซ์ ซึ่ง X หมายถึงสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เรียกแทน สิ่งที่พวกเขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
8. ยางรถยนต์
ในปี ค.ศ.1839 ชาร์ลส กู๊ดเยียร์ทำการทดลองเกี่ยวกับยางรถยนต์ที่ทำมาจากยางพารา แต่ปัญหาในตอนนั้นคือ ยางรถยนต์ที่ได้จะแตกละเอียดเมื่ออากาศเย็นลง และหลอมละลายเมื่ออากาศร้อนขึ้น กู๊ดเยียร์พยายามผสมสารต่างๆลงไป
เพื่อพัฒนาคุณภาพของยางที่จะนำมาทำเป็นยางรถยนต์ให้ได้ วันหนึ่งเขาบังเอิญทำส่วนผสมของน้ำยางกับกำมะถันตกลงลงไปบนเตาไฟร้อนๆ ที่ในครัว แล้วเขาก็พบว่ายางที่ได้จากความร้อนบนเตา มีความแข็งตัวแต่กลับมีความยืดหยุ่นดี จนถูกนำมาใช้เป็นยางรถยนต์ และในหลากหลายอุตสาหกรรมจนถึงปัจจุบันนี้
9. ไม้ขีดไฟ
ในปี ค.ศ.1827 จอห์น วอล์คเกอร์ เภสัชกรและนักเคมีชาวอังกฤษ ขณะที่กำลังทำการทดลองเขาได้ค้นพบไม้ขีดไฟด้วยความบังเอิญเมื่อเขานำเศษไม้ที่เคลือบด้วยด้วยสารโพแทสเซียมคลอเรตผสมกับแอนติโมนีซัลไฟด์และกาวจากยางไม้ ไปขีดลงบนวัตถุที่มีผิวหยาบอย่างกระดาษทราย แล้วแรงเสียดสีทำให้มันลุกติดไฟขึ้นมา จอห์น วอล์คเกอร์จึงทำไม้ขีดไฟขึ้นมาจำหน่ายครั้งแรกในร้านขายหนังสือใกล้ๆ บ้านของเขา
Corn Flakes ไม้ขีดไฟ และยางรถยนต์ 3 ใน 10 สิ่งที่ถูกค้นพบด้วยความบังเอิญ
10. Corn Flakes
ในปี ค.ศ. 1894 ด็อกเตอร์ จอห์น ฮาร์วีย์ เคลล็อกก์ และวิลเลี่ยม คีท เคลล็อกก์ น้องชาย ซึ่งทั้งคู่ทำงานอยู่ในสถานส่งเสริมสุขภาพ ที่เมืองมิชิแกน ทั้งสองคนกำลังค้นหาอาหารประเภทธัญพืชที่สามารถย่อยได้ง่ายๆสำหรับคนไข้ของพวกเขา วันหนึ่งพวกเขาเผลอลืมวางเล็ดข้าวสาลีไว้บนเตา ด้วยความเสียดายพวกเขาเลยเอาเมล็ดข้าวสาลีเหล่านั้นใส่ลงในเครื่องบดเพื่อยืดให้มันเป็นแผ่น แต่เมล็ดข้าวสาลีก็กลายเป็นเกล็ด เมื่อทำให้สุกแล้วมีรสชาติที่อร่อยมาก พวกเขาได้นำเมล็ดธัญพืชอื่นๆ อย่างเช่น เมล็ดข้าวโพด มาทำแบบเดียวกันบ้างจนกลายเป็น Corn Flakes ที่คนทั้งโลกคนติดใจ
เป็นอย่างไรบ้างคะ การค้นพบโดยบังเอิญของสิ่งของใกล้ๆตัวเราทั้ง 10 อย่าง บางครั้งอุบัติเหตุ หรือความบังเอิญก็ทำให้เราได้พบสิ่งดีได้เช่นกันนะคะ
->เน็ตตี้ สตีเวนส์ นักวิจัยด้านพันธุ์ศาสตร์ที่ค้นพบระบบโครโมโซม XY