ตำนาน โคคา-โคล่า ความเป็นมาของเครื่องดื่มรสซาบซ่าส์

ตำนาน โคคา โคลา ประวตความเปนมาของโคก

ตำนาน โคคา-โคล่า ความเป็นมาของเครื่องดื่มรสซาบซ่าส์

Coca-Cola หรือ Coke เป็นน้ำอัดลมสีดำยอดฮิตที่ครองใจคนเกือบทั้งโลก วันนี้เราจะไปรู้จัก ตำนาน โคคา-โคล่า และประวัติความเป็นมาของเครื่องดื่มโค้กกัน

การค้นพบน้ำอัดลม

น้ำอัดลมถูกค้นพบโดยนักธรณีวิทยาคนหนึ่งที่พบว่าตัวเองมีความรู้สึกสดชื่นและเย็นสบายขึ้นหลังจากดื่มน้ำแร่ธรรมชาติที่มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ผสมอยู่ เขาเลยผลิตน้ำผสมแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ดื่มเอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1767 โจเซฟ เพรสลีย์นักบวชและนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ค้นพบแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากถังหมักเบียร์ จึงได้ทดลองผลิตน้ำคาร์บอเนตหรือน้ำโซดาขึ้นเป็นครั้งแรก และได้รับการยอมรับให้เป็นต้นแบบการผลิตน้ำอัดลมในยุคต่อๆ มา

ผู้บริหารที่สำนักงานใหญ่โคคา-โคล่า Kent J. Landers Group Director Media Relations The Coca-Cola Company กล่าวว่า น้ำอัดลมในประเทศสหรัฐอเมริกามีอยู่ทั้งหมดประมาณ 20 ยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อก็จะแยกย่อยเป็นแบบต่างๆ มากมาย เช่น แบบมีแคลอรีหรือแบบไม่มีแคลอรี แบบที่มีคาเฟอีนหรือแบบไม่มีคาเฟอีน แบบน้ำตาลน้อยหรือน้ำตาลมาก ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าผู้บริโภคต้องการทางเลือก ความนิยมดื่มน้ำอัดลมของชาวอเมริกันถือว่ามากเป็นอันดับสอง เป็นรองก็แค่น้ำเปล่าเท่านั้น ดังนั้นซุปเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐอเมริกาจะมีน้ำอัดลมในสต๊อกเป็นจำนวนมาก ประวัติศาสตร์ของเครื่องดื่มอัดแก๊สรสซาบซ่าส์นั้นมีมายาวนานเป็นเวลา 130 ปีแล้ว 

ตำนาน โคคา โคลา รสชาตทหลากหลาย

รสชาติที่หลากหลาย กระป๋องสีเขียว คือ Coca-Cola « Life » น้ำอัดลมที่มีความหวานจากธรรมชาติของหญ้าหวานทำให้มีรสหวานแต่มีแคลอรีน้อยลง  

น้ำอัดลมที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของโลกก็คงหนีไม่พ้นน้ำอัดลมยี่ห้อโคคา-โคล่า ซึ่งมีบริษัทแม่ตั้งอยู่ที่แอตแลนตา เมืองขนาดใหญ่ในรัฐจอร์เจีย เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจและกีฬา เป็นที่ตั้งของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแบรนด์ และเป็นที่ตั้งของ « World of Coca-Cola » หรือพิพิธภัณฑ์โคคา-โคล่า ภายในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาของโค้ก รวมทั้งมีห้องชิมน้ำอัดลม ที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมน้ำอัดลมจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ผู้เยี่ยมชมได้ทดลองชิมกัน มีโค้กรสชาติแปลกๆ ที่ไม่มีขายในบ้านเรา เช่น น้ำอัดลมใส่เครื่องเทศ โค้กจากอิตาลี่ที่มีรสขมเหมือนควินิน  

จุดกำเนิดโคคา-โคล่า ในร้านขายยา

น้ำอัดลมสีดำยอดฮิตของคนทั้งโลกมีจุดกำเนิดมาจากร้านขายยาเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Jacobs’ Pharmacy  เจคอบส์ ฟาร์มาซี ในปี ค.ศ. 1886 จอห์น แพมเบอร์ตัน (John Pemberton) เภสัชกร ได้ลองผิดลองถูกโดยนำวัตถุดิบจากธรรมชาติชนิดต่างๆ มาผสมรวมกันเป็นน้ำอัดลมที่มีกลิ่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนในที่สุดกลายมาเป็นน้ำอัดลมสีดำที่ครองใจคนทั้งโลก ที่ใช้คำว่าลองผิดลองถูกก็เพราะว่าในการหาสูตรผสมในครั้งแรกนั้น วัตถุดิบแต่ละชนิดล้วนแต่แปลกๆ ห่างไกลจากความเป็นโคคา-โคล่ามาก ไม่ว่าจะเป็น ยาแก้ไอ ยาเกี่ยวกับตับ โคโลญจน์ โลชั่นหรือว่าออยส์ชนิดต่างๆ จนในที่สุด ดร. จอห์น แพมเบอร์ตัน ก็ได้สูตรที่แน่นอนโดยคัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ให้กลิ่นและรสดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลกนำมาผสมผสานกันจนได้เครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่ผ่านการเติมแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำเชื่อมที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน น้ำมะนาว สารสะกัดจากใบโคล่าและสารสะกัดจากเมล็ดโคคาหรือคาเคา จนกลายเป็นเครื่องดื่มซู่ซ่าชื่นใจ ตอนนั้น ดร. จอห์น แพมเบอร์ตัน ยังไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อเจ้าเครื่องดื่มรสซาบซ่าส์นี้ว่าอะไรดี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1929 ผู้ช่วยของเขาที่ชื่อ แฟรงค์ โรบินสัน จึงเสนอชื่อ Coca-Cola พร้อมกับออกแบบโลโก้รวมถึงสโลแกน “The Pause that Refreshes” ซึ่งโลโก้ดังกล่าวยังคงใช้มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ 

ตำนาน โคคา โคลา รานขายยา Jacobs Pharmacy

โคคา-โคล่า ถูกปรุงขึ้นมาเป็นครั้งแรกในร้านขายยา เจคอบส์ ฟาร์มาซี ในเมืองแอตแลนตา

จอห์น แพมเบอร์ตัน เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1888 เพียงแค่สองปีถัดมาหลังจากขายกิจการให้กับ เอซา กริกส์ แคนด์เลอร์  (Asa Griggs Candler) นักธุรกิจที่เป็นผู้พัฒนาและบุกเบิกยี่ห้อนี้ขึ้นมา แม้เวลาจะผ่านมากว่า 128 ปีแล้ว แต่โค้กก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลก โดยปราศจากวัตถุกันเสียและสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ นอกจากนี้แล้วสีน้ำตาลเข้มของโค้ก ที่เราคุ้นเคยก็มาจากสีของคาราเมล หรือสีของน้ำตาลที่ผ่านการเคี่ยวจนเหนียวข้นนั่นเอง จนกระทั่งปัจจุบัน โคคา-โคล่า มีจำหน่ายใน 207 ประเทศทั่วโลก 

ความลับอันเป็นอมตะของ “โค้ก”

แม้เวลาจะผ่านไปนานกว่าร้อยปีแต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยก็คือ รสชาติของ โคคา-โคล่า ที่เป็นอมตะมานับร้อยกว่าปี ตลอดการก่อตั้งบริษัทขึ้นมามีคนรู้สูตรกันเพียงแค่ไม่กี่คน และก็ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดในห้องที่มีระดับความปลอดภัยแบบสูงสุด สูตรส่วนผสมของโคคา-โคล่าที่ส่งไปผสมทั่วโลก ถูกเก็บไว้ในตู้เชฟใส่รหัสความปลอดภัยซึ่งยากต่อการที่จะไขเข้าไปได้ แล้วก็เก็บไว้ที่สำนักงานใหญ่เพียงที่เดียวเท่านั้น นอกจากห้องเก็บสูตรลับแล้ว ยังมีห้องประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นห้องที่เก็บรวบรวมสิ่งของที่เกี่ยวกับน้ำอัดลมชื่อดังจากทั่วโลกไว้ในห้องนี้เพียงห้องเดียว หากนำชั้นเก็บของมาต่อกันจะมีความยาวถึง 7 กิโลเมตร มีสิ่งของมากกว่า 1 ล้านชิ้น ไม่ว่าจะเป็น ของเล่น ของใช้ รูปภาพ ป้ายโฆษณา บางชิ้นมีอายุนับร้อยปี รวมถึงขวดโคคา-โคลล่าในทุกปีจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงขวดที่เคยไปท่องอาวกาศกับยานชาเลนเจอร์มาแล้วอย่าง “สเปซแคน” ที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1985 เพื่อให้นักบินอาวกาศสามารถนำเครื่องดื่มยอดฮิตนี้ไปดื่มนอกโลก โดยขวดจะออกแบบมาเป็นพิเศษให้สามารถเปิดดื่มในสภาวะไร้น้ำหนักได้ 

กระปอง space cane หนงใน ตำนาน โคคา โคลา

 

กระป๋อง space cane สำหรับการนำโคคา-โคล่าไปดื่มนอกโลกของนักบินอวกาศ โดยใส่น้ำอัดลมเข้าไปข้างในแล้วก็เปิดดื่มตรงปลายหัวฉีด

การมาเยือนประเทศไทยครั้งแรกของ โคคา-โคล่า

ขวดน้ำอัดลมที่วางขายในประเทศไทยยุคแรกๆ มีการจัดเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์สุขสะสม พุทธมณฑลสาย 2 ในสมัยรัชกาลที่ 3 คนไทยเริ่มทำการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ จึงมีการนำน้ำอัดลมเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยด้วย โดยเริ่มวางจำหน่ายในร้านขายยาในตอนนั้นคนไทยเรียกน้ำอัดลมว่า “น้ำมะเน็ด” ซึ่งย่อมาจากคำว่า น้ำเลมอนเนด แต่สมัยนั้นยังไม่ค่อยได้รับความนิยมเนื่องจากราคาค่อนข้างสูง ในสมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มมีการโฆษณาน้ำอัดลมในหนังสือพิมพ์ Bangkok Recorder จึงทำให้คยไทยเริ่มรู้จักน้ำอัดลมกันมากขึ้น ราคาในตอนนั้นก็ขวดละประมาณ 3-5 สตางค์ ซึ่งก็ยังถือว่าแพงสำหรับคนไทย คนที่ดื่มน้ำอัดลมจึงถือว่าเป็นผู้นำแฟชั่น จนกระทั่งมาถึงยุคที่เมืองไทยเริ่มมีโรงงานอุตสาหกรรม น้ำอัดลมก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายมาเป็นน้ำหวานหลากสีสัน โรงงานน้ำอัดลมถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2492 ทำให้ราคาถูกลง คนไทยจึงเริ่มหันมาดื่มน้ำอัดลมกันมากขึ้น 

การผลิตน้ำอัดลม โคคา-โคล่า ในประเทศไทย

สำหรับประเทศไทย น้ำอัดลม โคคา-โคล่าถูกผลิตขึ้นมาโดย บริษัทไทยน้ำทิพย์ โดยขบวนการผลิต เริ่มจากการเตรียมหัวเชื้อน้ำอัดลมที่ถูกส่งมาจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นสูตรและเป็นลิขสิทธิ์ของโคคา-โคล่าโดยเฉพาะ แกลลอนใส่หัวเชื้อจะถูกซีลปิดผนึกมาอย่างดี ห้ามเปิดก่อนที่จะส่งมาถึงโรงงานอย่างเด็ดขาด ส่วนผสมของน้ำอัดลมมีเพียงแค่ 3 อย่างคือ 

• หัวเชื้อ

• น้ำตาล

• น้ำ

ขั้นตอนการผลิตเริ่มจากน้ำ ซึ่งน้ำที่นำมาผลิตต้องถูกปรับปรุงให้ได้คุณภาพด้วยระบบระบบรีเวอร์สออสโมซิส (Reverse Osmosis) เพื่อให้มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากน้ำที่เราดื่มโดยทั่วๆ ไป ส่วนผสมทั้ง 3 อย่างจะถูกนำมาผสมกันในถังการผลิตที่เป็นระบบปิดและล็อคกุญแจไว้อีกชั้น แบบว่าลับสุดยอดจริงๆ เมื่อผสมจนได้ที่แล้วก็ถูกลำเลียงไปยังแผนกบรรจุต่อไป

บรรจุภัณฑ์ 

ถ้าเราทานโค้กตามร้านอาหาร ขวดบรรจุบางทีก็เป็นขวดแก้ว ที่พอลูกค้าทานเสร็จเจ้าของร้านจะรวบรวมไว้ แล้วส่งคืนให้กับทางบริษัท เวลาซื้อน้ำอัดลมล็อตใหม่ บางคนอาจระแวงว่าขบวนการล้างจะสะอาดพอหรือเปล่า ซึ่งภาชนะที่เป็นขวดแก้วจะมีการทางบรัทไทยน้ำทิพย์ก็จะผ่านการทำความสะอาด และตรวจสอบกันอย่างดี โดยเริ่มจากขั้นตอนการกำจัดหลอดที่ติดมากับขวดโดยการเป่าด้วยลม ในกรณีที่หลอดไม่โผล่ออกมาจากปากขวด ต้องใช้แรงงานคนในการเอาหลอดและสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ออกมาจากขวด ขวดจะถูกลำเลียงไปตามสายพานสู่ขบวนการล้างทำความสะอาด ด้วยโซดาไฟ ล้างด้วยน้ำร้อนและน้ำย็นตามลำดับ ขวดจะถูกตรวจวัดความสะอาดแบบ 360 องศาด้วยครื่องจักรที่ทันสมัย มีการตรวจวัดการตกค้างของโซดาไฟ สิ่งสกปรกรวมถึงรอยร้าวขวดที่ได้มาตรฐานจะถูกส่งไปสายงานการผลิตและบรรจุต่อไป ส่วนขวดพลาสติก จะถูกเป่าจากหลอดให้กลายเป็นขวดเสียก่อน 

ขั้นตอนการเติมแก๊ส 

หัวเชื้อน้ำอัดลมที่ผสมไว้แล้วที่ห้องผสมจะถูกลำเลียงนำมาเติมแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เสียก่อน จากนั้นก็นำมาบรรจุอัตราการผลิตและบรรจุเป็นไปอย่างรวดเร็ว 1000 ขวดต่อนาทีเลยทีเดียว จากนั้นก็จะปิดฝาแล้วถูกส่งไปตรวจสอบคุณภาพ

การตรวจสอบคุณภาพ

ขวดน้ำอัดลมจะถูกนำไปวัดปริมาณน้ำในขวด แล้วมีการสุ่มบางขวดเพื่อนำไปตรวจสอบคุณภาพในห้องทดลอง โดยการชิมจากผู้เชี่ยวชาญที่มีจมูกและลิ้นไวต่อรสต่างๆ เป็นพิเศษ ในการชิมแต่ละครั้งนักชิมต้องสังเกตุทั้ง สี กลิ่น รส โดยสังเกตุว่ามีกลิ่นดิน กลิ่นเหล็ก กลิ่นผลไม้ กลิ่นยา หรือแม้กระทั่งว่ามีกลิ่นคาราเมลไหม้ แปลกปลอมมาหรือไม่ มีการทดสอบกับตัวอย่างแคปซูลกลิ่นไม่พึงประสงค์ 

การบำบัดน้ำเสียของโรงงาน

ในการผลิตน้ำอัดลมยี้ห้อดังอย่าง โคคา-โคล่า ต้องใช้น้ำจำนวนมาก น้ำทิ้งที่ปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมก็มากตามไปด้วยเช่นกัน มีน้ำเสียจากขบวนการผลิตสูงถึงวันละ 3 ล้านลิตรเลยทีเดียว วิธีการกำจัดน้ำเสียของโรงงานขั้นตอนแรกก็จะใช้ขบวณการตกตะกอนในบ่อ MBR โดยมีการใช้จุลลินทรีย์เป็นตัวเร่งให้สารอินทรีย์ต่างๆ เช่นน้ำตาลที่มีในน้ำเสียนั้นเกิดการตกตะกอนเสียก่อน เมื่อจุลลินทรีย์ย่อยสลายสารเหล่านั้นแล้วก็จะเจริญเติบโตจนจับกันเป็นก้อนขึ้นมา จากนั้นน้ำก็ผ่านเข้าสู่ขบวนการกรองเอาน้ำใสๆ ออกไป เดิมทีทางบริษัทต้องใช้เวลานานถึง 40 วันในการขจัดน้ำเสีย 3 ล้านลิตร ด้วยเทคโนเลยีที่ทันสมัยขึ้นปัจจุบันจึงใช้เวลาแค่เพียงวันเดียวเท่านั้น น้ำจะถูกปรับสภาพให้เหมาะสมในบ่อเสถียร แล้วส่งไปเติมออกซิเจน แล้วก็ถึงขั้นตอนสำคัญในการบำบัดน้ำเสียคือการกรองผ่านเยื่อเมมเบรน น้ำที่ผ่านขั้นตอนนี้จะใสสะอาด จนทางโรงงานนำปลามาเลี้ยงไว้เพื่อเป็นการยืนยันคุณภาพของน้ำว่าไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

ตำนาน โคคา โคลา World of Coca Cola

พิพิธภัณฑ์โคคา-โคล่า  « World of Coca-Cola »

เป็นอย่างไรบ้างคะ ตำนาน โคคา-โคล่า ประวัติและความเป็นมาที่น่าทึ่งของน้ำอัดลมยอดฮิตที่ครองใจคนทั้งโลก ทีนี้เราไปดูเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับน้ำอัดลมกันต่อนะคะ

น้ำอัดลมกับสุขภาพ

ข้อดีของน้ำอัดลมคือให้พลังงาน มีความรู้สึกสดชื่นหลังดื่มเพราะมีน้ำตาลและก๊สผสมอยู่ นักโภชนาการแนะนำให้ดื่มได้ในปริมาณที่เหมาะสม อย่างเด็กๆ ควรดื่มครั้งละประมาณ ½ ต่อหนึ่งมื้ออาหาร สำหรับผู้ใหญ่วันละ 1 แก้วหรือหนึ่งกระป๋อง ทดแทนการดื่มน้ำหวานหรือการรับประทานของหวาน แต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรระวังเรื่องปริมาณน้ำตาล กลุ่มผู้ป่วยโรคไตก็ควรระมัดระวังปริมาณของเกลือโซเดี่ยมด้วยนะคะ รวมถึงคนที่มีปัญหาเรื่องโรคกระดูกพรุน หรือโรคอ้วนควรควบคุมปริมาณการดื่มต่อวัน แล้วควรบ้วนปาก แปรงฟันหลังดื่ม รวมถึงการรับประทานอาหารหลากหลาย การออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อการมีสุขภาพที่ดีด้วยนะคะ 

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับน้ำอัดลม 

น้ำอัดลมเป็นกรด ใช้ล้างห้องน้ำได้ 

แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ « CO2 » ที่เติมลงไปในน้ำอัดลมเป็นตัวที่ทำให้น้ำอัดลมมีฟองฟู่ โดยการดึงเอาคาร์บอนมาผสมในเครื่องดื่มชนิดต่างๆ แต่เนื่องจากมันเป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เมื่อละลายน้ำแล้วก็จะกลายเป็นกรดคาร์บอนิก « Carbonic acid : H2CO3 » ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน ค่าความเป็นกรดหรือ pH ที่ประมาณ 3.5 ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ พอเห็นว่าเป็นกรดหลายคนอาจจะกลัว ความจริงแล้วค่า pH ประมาณนี้ถือว่าค่าความเป็นกรด-ด่าง น้อยกว่าน้ำมะนาวหรือน้ำส้มที่มีค่า pH ประมาณ 2-2.5 ความเชื่อหรือเรื่องที่แชร์ต่อๆ กันมาว่าน้ำอัดลมสามารถล้างโถชักโครกได้จึงเป็นความเชื่อแบบผิดๆ เพราะนอกจากล้างได้ไม่สะอาดแล้วยังทำให้ห้องน้ำเลอะเทอะด้วยน้ำตาลซึ่งอาจเป็นอาหารให้เชื้อโรคในห้องน้ำเจริญเติบโต เพิ่มจำนวนมากขึ้นอีกด้วย

น้ำอัดลมกัดกระเพาะอาหาร

ในกระเพาะอาหารของคนเรานั้นจะมีน้ำย่อยอาหารคือกรดไฮโดรคลอริก « Hydrochloric acid : HCL » ซึ่งเป็นกรดแก่มีค่าความเป็นกรดด่างเท่ากับ pH 1 -1.5 ในขณะที่ย่อยอาหาร ดังนั้นกรดอ่อนจากน้ำอัดลมจึงไม่ได้เป็นอันตรายต่อกระเพาะอย่างที่ลือต่อๆ กันมา แต่อาจมีผลกระทบกับคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารที่มีผนังกระเพาะค่อนข้างบาง แพทย์ก็มักจะเตือนไม่ให้ดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป 

ขอบคุณข้อมูลจากรายการ กบนอกกะลา TvburabhaOfficial