โบราณสถานหมี่เซิน My son ฮอยอัน ประเทศเวียดนาม
กลุ่มวิหารหรือโบราณสถานหมี่เซิน My son หรือ Mỹ Sơn ในภาษาเวียดนาม เป็นแหล่งศาสนสถานของชาวจามที่มีอายุมากกว่า 1600 ปี เป็นปูชนียสถานที่ใหญ่ที่สุด และมีความสำคัญที่สุดของอาณาจักรจามปา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 จนถึง ศตวรรษที่ 15 สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์จาม หมี่เซินยังมีความเกี่ยวพันกับนครวัดของกัมพูชา เพราะหลังจากที่ชาวจามสร้างแหล่งศาสนสถานแห่งนี้เสร็จแล้ว ก็พากันเดินทางไปสร้างนครวัดต่อ ดังนั้นหมี่เซินจึงมีความเก่าแก่มากกว่านครวัด
โบราณสถานหมี่เซินตั้งอยู่ใจกลางหุบเขากว้าง ซึ่งเป็นที่ราบต่ำ ถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาขนาดใหญ่ ตรงใจกลางมีลำธารน้ำไหลผ่าน ไกด์เล่าให้ฟังว่า หุบเขากว้างแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับโยนี มีภูเขาลูกใหญ่ก็มีลักษณะคล้ายกับศิวลึงค์หรือสัญลักษณ์เพศชาย ลำธารที่ไหลผ่านก็เหมือนกับน้ำที่ไหลผ่านโยนี ธรรมชาติของที่นี่ดูเหมือนกับแท่นบูชา ชาวจามเลือกสถานที่แห่งนี้เพื่อสักการะเทพเจ้าของฮินดู หมี่เซินถือว่าเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวจาม
ซ้ายมือ : รูปปั้นของพระศิวะที่ถูกตัดเศียร์ออกไป ขวามือบน : ภาษาจามซึ่งเขียนด้วยอักษรอินเดีย ส่วนขวามือล่าง : แท่นบูชา
ไกด์ยังเล่าให้ฟังด้วยว่า พื้นที่ตรงนี้คล้ายกับแท่นบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวจามที่เลื่อมใสศรัทธาและบูชาศิวลึงค์ เดิมทีมีศิวลึงค์อยู่ตรงกลางแท่นบูชาแห่งนี้ ขณะที่ทำพิธีบรวงสรวงบูชา ชาวจามจะใส่น้ำนมโคลงไปในแท่นบูชา หลังจากสิ้นสุดการทำพิธี พวกเขาจะดื่มน้ำนมอันศักสิทธิ์ที่ไหลออกมาเพื่อความเป็นสิริมงคล ว่ากันว่า มีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเข้ามาทำพิธีในที่แห่งนี้ได้
เมื่อก่อนที่นี่มีปราสาทอยู่ทั้งหมด 73 หลัง แต่ตอนนี้หลงเหลืออยู่เพียงแค่ 22 หลังเท่านั้น โดยหมี่เซิ่นได้รับความเสียหายที่สุดจากการทิ้งระเบิดของฝูงบินรบอเมริกัน ในสมัยประธานาธิบดีนิ๊กสัน ที่ตอนนั้นมีข่าวกรองมาว่า ที่นีเป็นฐานทัพของเวียดกง ทางด้านหลังของกลุ่มวิหาร กรุ๊ป บี ยังคงเหลืองร่องรอยจากการทิ้งระเบิดของฝูงบิน B-25 มีดินที่เป็นหลุมขนาดใหญ่จากแรงระเบิดในปี ค.ศ.1969 เดิมทีวิหารตรงนั้น น่าจะมีความสูงไม่น้อยกว่า 19 เมตรแต่น่าเสียดายที่ต้องมาพังลงเพราะแรงระเบิด
หลังจากสิ้นสุดสงคราม ชาวเวียดนามไม่กล้าเข้ามาในหมี่ซัน เพราะเกรงว่าจะมีระเบิดหลงเหลืออยู่ จนกระทั่งกองทัพเยอรมันนียื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการทำความสะอาดและเคลียร์พื้นที่ มีการค้นพบซากลูกระเบิด B-52 ที่ทางพิพิธภัณฑ์รวบรวมนำมาเก็บไว้
ภาพข้างล่าง เป็นโบราณวัตถุที่ถูกนำออกมาจากวิหารที่พังทะลายเพราะแรงระเบิด สถาปนิกชาวโปแลนด์จึงเก็บรวบรวมเพื่อเป็นของตกแต่ง จากในรูป ถ้าสังเกตุอิฐสีแดงที่ผนังด้านในสุด จะเห็นถึงความน่าทึ่งของการทำก้อนอิฐของชาวจาม ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านนานเกือบ 1600 ปี แต่ไม่มีมอสหรือตระไคร่น้ำมาจับเลย ในขณะที่ตัวผนังด้านขวามือที่ได้รับบูรณะขึ้นมาใหม่เพียงไม่กี่ปี กลับมีมอสหรือตระไคร่น้ำมาเกาะที่ผนังจนเป็นสีเขียวเข้ม
ป้ายหินทราย บ่งบอกได้ดีถึงอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่มีต่ออาณาจักรจามปา โดยมีการแกะสลักเรื่องเล่าตามหลักศาสนาอินดู ตรงกลางแผ่นป้ายคือพระศิวะเทพ ถัดไปทางขวามือคือ พระขันธกุมาร เทพเจ้าแห่งสงคราม โอรสของพระศิวะ ส่วนพระพิฆเนศ โอรสอีกองค์นั้นเป็นเทพเจ้าแห่งความสุขและโชคลาภ ถัดจากพระขันธกุมารไปก็คือพระแม่ปารวตี ซึ่งเป็นเทพีแห่งความงาม ทางด้านขวามือสุดคนรับใช้ของพระศิวะ
ตามผนังวิหารจะมีรูปปั้นของเทวาลัยติดอยู่ แต่ถ้าสังเกตุดูดีๆแล้วจะพบว่ารูปปั้นเหล่านั้นไม่มีใบหน้า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าหลังสงครามสงบ ก็มีบางคนเข้ามาในหมี่เซิน เพื่อทุบเอาส่วนใบหน้าของเทวาลัย แล้วนำเอากลับไปเก็บไว้ที่ประเทศของตัวเอง รวมถึงโบราณวัตถุอื่นๆด้วย ว่ากันว่าเศียรหรือใบหน้าเหล่านั้นถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประเทศฝรั่งเศส ที่เราเห็นๆกันอยู่คือใบหน้าที่หล่อขึ้นมาใหม่ ซึ่งคุณภาพของวัสดุก็จะแตกต่างกันกับรูปปั้นดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด
มีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่อย่างมากมาย ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ มีเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่เป็นชาวเวียดนาม มีผู้คนมากมายมาเยือนที่นี่ แต่ยังไม่มีใครทราบวิธีการทำอิฐของชาวจาม ที่เอาก้อนอิฐมาประกบกัน โดยอาจจะมีการใช้ยางไม้อะไรซักอย่างมาช่วย เพราะมันช่างแนบสนิทกันดีเหลือเกิน รวมถึงวิธีการอื่นๆในการก่อสร้างวิหารแห่งนี้ได้อย่างน่าทึ่ง ยังมีความลับและปริศนาหลายอย่างเกี่ยวกับวิหารของชาวจามปาแห่งนี้
โบราณสถาน หมี่เซิน My son เป็นมรดกในอดีตที่สะท้อนความรุ่งเรืองของอาณาจักรจามปาเมื่อหนึ่งพันปีก่อน และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2542 โดยองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต่างหลั่งไหลมาชมศิลปะโบราณที่สมบูรณ์และสวยงามของชาวจาม