เที่ยวเมืองบรูจส์ Bruges ประเทศเบลเยี่ยม
มาต่อกันโดยไวเลยนะคะ รีวิวเที่ยวเมืองบรูจส์ (ภาษาอังกฤษ Bruges หรือ Brugge ในภาษาดัตช์) ประเทศเบลเยี่ยม ภาคสอง กับ maanow.com ตอนนี้เราเดินมาที่ถนน Blinde Ezelstraat มองไปไกลจะเห็นยอดวิหารสูงโดดเด่นที่สุดในเมืองเลยก็ว่าได้
Onze-Lieve-Vrouwekerk (Church of Our Lady)
เข้าไปภายในโบสถ์สวยงามมากจนหาคำมาบรรยายไม่ถูก ในวิหารจะมีงานแกะสลักหินอ่อนสีขาวของไมเคิลแอนเจลโล่ ศิลปินชาวอิตาลี่ผู้โด่งดัง รูปปั้นนี้มีชื่อว่า Madonna of Bruges เป็นงานแกะสลักหินอ่อน ที่มีความอ่อนช้อยสวยงามมาก เข้าไปดูใกล้ๆ ส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อเหมือนจะพลิ้วไหวกับลม ฝีมือจริงๆ ออกมานอกโบสถ์จะเห็นหน้าต่างที่เล็กที่สุดในโลก
Sint-Janshospitaal (Saint John’s Hospital)
โรงพยาบาลในยุคโบราณ ที่ตอนนี้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์โรงพยาบาล ที่จัดแสดงเกี่ยวกับโรงพยาบาลสมัยก่อน มีทั้งตำราการแพทย์ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในโรงพยาบาล เตียงคนป่วย และแม้กระทั่งรถพยาบาลฉุกเฉินในสมัยโบราณ
Groeningemuseum (Groeninge Museum)
พิพิธภัณฑ์ Groeningemuseum จะรวบรวมภาพวาดของศิลปินคนสำคัญๆ ของเฟลมมิช ที่เล่าเรื่องราวของชาวเบลเยี่ยมผ่านภาพวาด
Begijnhof (Beguinage)
เป็นชุมชนทางศาสนาของสตรี ผู้เขียนขอเรียกว่าสนักนางชีก็แล้วกันเข้าใจง่ายดี ข้างในจะมีโบสถ์เป็นจุดศูนย์กลางของชุมชน มีที่พักของนางชีหรือผู้ปฏิบัติทางศาสนาอยู่รอบๆ ตอนนี้ก็ยังมีคนอาศัยอยู่จริง จะเห็นป้ายบอกว่าห้ามส่งเสียงดังติดอยู่รอบๆ ว่ากันว่าที่นี่เป็นจุดกำเนิดลัทธิ Feminism แห่งแรกของโลก
ตรงกลางเป็นลานกว้างที่เต็มไปด้วยดอกแดฟโฟดิล (Daffodil) หรือดอกนาร์ซิสซัส (Narcissus) ที่เริ่มบานสะพรั่งปลายเดือนมีนาคม ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ไปไปครั้งแรกตอนฤดูร้อนจะเห็นเป็นพื้นดินโล่งๆ ธรรมดาๆ แต่ก็จะมีป้ายบอกไว้ว่า ห้ามเดินเข้าไปในบริเวณนั้น เพราะใต้พื้นดินจะเต็มไปด้วยหัวของดอกแดฟโฟดิลที่รอวันผลิบาน หากไปเที่ยวเมืองบรูจส์แล้วอยากเห็นดอกแดฟโฟดิลบานสะพรั่งแบบนี้ก็ต้องไปในฤดูใบไม้ผลิ
Minnewater (Lake of Love)
ออกจาก Beguinage ก็จะเห็น Minnewater หรือ Lake of Love ซึ่งเป็นสวนสาธารณริมบึง ความจริงแล้ว Minnewater เป็นสถานที่แรกที่เรามองเห็น เมื่อออกมาจากสถานีรถไฟ ถ้าใครไม่มีสัมภาระไม่ต้องนั่งรถบัสเข้าเมืองก็ได้นะ เริ่มเดินชมเมืองเข้ามาจากด้านหลัง Minnewater เลยก็ได้ ด้านหน้าของสวนแห่งนี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของคลอง
เดินมาอีกนิดหนึ่งจะเห็นว่ามี หงส์ หรือ Swan อยู่เต็มไปหมด ระวังอย่าเข้าไปใกล้ๆ เพราะอาจจะโดนจิกได้ หงส์เป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองนี้ มีตำนานเล่าต่อๆ กันมาว่า ในปี ค.ศ.1488 ชาวเมืองได้ทำการประหารผู้ปกครองเมืองที่มีชื่อว่า Pieter Lanchals ที่ชื่อของเขาแปลว่าผูุ้มีคอยาว และรูปหงส์ขาวก็ยังเป็นสัญญลักษณ์ของตระกูลนี้ เมืองนี้ก็เลยเหมือนต้องคำสาปให้ต้องเลี้ยงหงส์คอยาวๆ ไว้ในคลอง
เดินย้อนกลับเข้าไปอีกนิดก็จะเจอย่าน Wijngaardstraat ที่มีร้านอาหาร หรือร้านกาแฟเรียงรายเต็มไปหมด เริ่มหิวแล้ว หาอาหารเที่ยงทานกันดีกว่า
โรงเบียร์ De Halve Maan Brewery
โรงเบียร์ที่มีโลโก้เป็นรูปพระจันทร์ ครึ่งเสี้ยว De Halve Maan Brewery มีชื่อเสียงในการผลิตเบียร์มานาน มีส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์เบียร์ ที่จัดแสดงให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตเบียร์ ประวัติ ความเป็นมาเกี่ยวกับเบียร์ ค่าบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เบียร์คนละ 8.5 ยูโร มีเบียร์ให้ดื่มฟรีคนละแก้วเป็นการตบท้าย ส่วนที่เป็นร้านอาหาร ก็จะมีเบียร์หลากหลายชนิดไว้คอยบริการลูกค้า บรรยากาศที่นี่นั่งสบายๆ เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ จะนั่งดื่มเบียร์ชิวๆ ในร้านหรือจะออกไปนั่งที่เทอร์เรสข้างนอกก็ได้ ที่เบลเยี่ยมมีเบียร์มากกว่า 500 ยี่ห้อ ต้องอยู่กีวันถึงชิมครบหมดทุกยี้ห้อ ยี่ห้อคำขวัญของคอเบียร์ที่นี่ก็คือ “Save water drink beer!”
ในฤดูร้อนปี 2016 ทางโรงเบียร์จะมีงานเฉลิมฉลอง การขนส่งเบียร์มาที่นี่ทางท่อใต้ดินจากโรงงานผลิตที่อยู่ห่างออกไป 19.31 กิโลเมตร เนื่องจากไม่อยากทำให้การจราจรติดขัดหากใช้รถบรรทุกขนส่งเบียร์เข้ามาในเมืองเก่า แบบว่าธรรมาภิบาลล้วนๆ แต่การขุดเพื่อฝังท่อส่งเบียร์ใต้เมืองโบราณ ที่มีสิ่งปลูกสร้างที่ถือว่าเป็นมรดกโลกล้ำค่าของโลกก็ต้องใช้ทั้งความชำนาญ ต้นทุนและเวลา แหมถ้าต่อท่อส่งถึงบ้านแล้วติดมิเตอร์เก็บตังค์เหมือนน้ำประปาคงเป็นที่ถูกอกถูกใจคอเบียร์กับไม่น้อย 55+
เดินไปเดินมาเจอโรงแรม Charlie Rocket ซึ่งเป็น Youth Hostel เลยถ่ายรูปมาฝาก เหมาะสำหรับวัยรุ่นที่ไปเป็นกลุ่ม หรือไปหาเพื่อนเอาข้างหน้าก็ได้ ราคาไม่แพง ห้องแบบหอพัก 6 เตียง ค่าที่พัก 18 ยูโรต่อคืน ต่อคนยังไม่รวมอาหารเช้า 4 ยูโร ถ้าเป็นห้องเตียงเดี่ยวราคา 25 ยูโร รวมอาหารเช้า ห้องเตียงคู่ 45 ยูโรรวมอาหารเช้า แต่ราคาที่พูดมายังไม่รวมภาษีนักท่องเที่ยวนะคะ เดินแค่นาทีเดียวก็ถึงจุดศูนย์กลางเมืองแล้ว คนมาพักที่นี่ส่วนมากเป็นวัยรุ่นฝรั่ง เห็นยืนจับกลุ่มคุยกันหน้าโรงแรม
มีเวลาเหลือเยอะก็เลยไปดูกังหันลมที่ Sint-Janshuismolen (Sint-Janshuis Mill) ซึ่งมีกังหันลมทั้งหมด 4 ตัว ไปซะค่ำถ่ายรูปออกมาเลยมืดนิดหนึ่ง
ถ้าใครอยากออกกำลังกายก็ปั่นจักยานไปเที่ยว Damme แต่ที่นั่นไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่วิวธรรมชาติสองข้างทางสวยดี มีรูปมาฝากด้วยค่ะ
สำหรับของฝากก็มีให้เลือกเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็นผ้าลูกไม้ทอมือ (แต่สมัยนี้น่าจะนำเข้าจากจีน) ช็อกโกแลตที่นี่ขึ้นชื่อว่าอร่อยที่สุดในโลก ที่ติดตู้เย็นรูปบ้านที่มีลักษณะเฉพาะของเมืองนี้ หรือใครกระเป๋าหนักเพชรเบลเยี่ยมก็ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ ยังมีเรื่องเล่าอีกเยอะเกี่ยวกับเมืองน่ารักๆ แห่งนี้ กำลังคิดอยู่ว่าจะเขียน เที่ยวเมือง บรูจส์ เบลเยี่ยม ภาคสาม ดีมั๊ย สำหรับวันนี้ขอจบการรีวิวไว้แค่นี้ก่อน อย่าลืมติดตามการรีววิวสถานที่ท่องเที่ยวกับ maanow.com คิวต่อไปจะพาเที่ยวอัมสเตอร์ดัม นั่งรถไฟไปเที่ยวหมู่บ้านกังหันลมโบราณ Zaanse Schans กันด้วย
->เที่ยวเมืองบรูจส์ Bruges ภาคแรก
https://www.youtube.com/watch?v=BjGeTlQDX8o