มัณฑะเลย์ Day 3 เที่ยวมินกุง เจดีย์จักรพรรดิ์ / ระฆังมินกุง / เจดีย์ชินพิวเม ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี / วัดพระมหามัยมุนี
เที่ยวมินกุง เป็นแผนการท่องเที่ยววันที่ 3 ในมัณฑะเลย์ วันนี้เลยต้องตื่นเช้ากว่าวันอื่น เพราะต้องไปให้ถึงท่าเรือก่อน 8.30 น. โชคดีที่ นั่งแท็กซี่จากโรงแรมมาท่าเรือใช้เวลาเดินทางแค่ 5 นาที พอได้ตั๋วแล้วก็มานั่งรอขึ้นเรือ (อย่าลืมเอาพาสปอร์ต หรือสำเนามาด้วยนะ เพราะต้องใช้ตอนซื้อตั๋ว)
นั่งเรือประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ขึ้นฝั่งที่หมู่บ้านมิงกุน มีเกวียนแท็กซี่มารอรับอยู่หลายคัน แต่ไม่ได้ขึ้นหรอกนะเพราะตั้งใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าจะเดิน เวลาสองชั่วโมงถือว่าเหลือเฟือ กว่าจะเรือจะกลับก็เที่ยง เจดีย์แห่งแรกที่เราจะเห็นคือเจดีย์เซตตอยา ซึ่งมีสิงห์คู่ประทับอยู่ด้านหน้า โดยเจดีย์แห่งนี้พระเจ้าปดุงทรงโปรดให้สร้างขึ้นมาเพื่อครอบรอยพระพุทธบาทที่สลักบนหินอ่อน ซึ่งที่ตรงนี้ก็เปรียบเหมือนสัญลักษณ์สำคัญ ที่ทำเราทราบว่าเราได้มาเยือนดินแดนที่พระเจ้าปดุงโปรดให้สร้างเจดีย์ มิงกุน หรือ เจดีย์จักรพรรดิ์ ขึ้นเพื่อหวังให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดและสูงที่สุด
เจดีย์มิงกุน (Mingun Pagoda)
เจดีย์จักรพรรดิ์ หรือเจดีย์มิงกุน เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ ที่สร้างเสร็จเฉพาะส่วนฐาน ประมาณ 1 ใน 5 ขององค์เจดีย์ที่ตั้งใจจะสร้างขึ้นมา ด้านหน้าเจดีย์มิงกุนจะเป็นซากของรูปสิงห์คู่ ซ้าย-ขวา ทำท่าหมอบและหันหน้าไปทางแม่น้ำเอยาวะดี มีเหตุผลมากมายว่าทำไมเจดีย์แห่งนี้ถึงสร้างไม่เสร็จเสียที มีเรื่องเล่าว่าในขณะที่กำลังสร้างส่วนฐานก็มีคนมากราบทูลว่า ถ้าเจดีย์นี้สร้างเสร็จจะเกิดภัยภิบัติกับแผ่นดิน ก็เลยหยุดสร้าง ส่วนสิงห์คู่ที่สร้างเสร็จแล้วแต่พังพังทลายลงมา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเพราะสร้างไม่ถูกต้องกับฤกษ์งามยามดี ภาพข้างล่างคือซากของสิงห์ที่พังลงมา ถ้าหากเสร็จสมบูรณ์จะเป็นเหมือนรูปที่อยู่ในกรอบเล็กๆ
พระเจ้าปดุง หรือพระเจ้าบอโดพญา พระมหากษัตริย์แห่งพม่าที่ทรงสร้างเมืองอมรปุระเป็นราชธานี ทรงครองราชย์ในช่วงที่สยามก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2325 เมื่อทรงตีเมืองยะไข่ได้สำเร็จ พระองค์ก็มั่นพระทัยที่จะทำการใหญ่ ทั้งขยายราชอาณาจักร รวมทั้งการตีกรุงรัตนโกสินทร์ และมีความคิดในการจะสร้างมหาเจดีย์จักรพรรดิ์ ที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศของพระองค์ ต่อการเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ และเพื่อเป็นการแสดงความศัทธาต่อพระพุทธศาสนา ในเวลานั้นทรงเกณฑ์เชลยศึกชาวยะไข่กว่า 50,000 คนมาสร้างองค์เจดีย์ แต่ด้วยการใช้แรงงานเชลยศึกอย่างหนัก ทำให้แรงงานชาวยะไข่ทิ้งงาน หนีการกดขี่แรงงานไปขอความช่วยเหลือจากเมืองเบงกอล ดินแดนในอาณัติของอังกฤษ ที่เวลานั้นอังกฤษไปปกครองพื้นที่ด้านตะวันตกอยู่ก่อนแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เจดีย์จักรพรรดิ์สร้างไม่สำเร็จ
งานก่อสร้างเจดีย์จักรพรรดิ์ แห่งมินกุง ดำเนินไปได้เพียง 7 ปี พระเจ้าปดุงก็เสด็จสวรรคต ในปี พ.ศ. 2362 ภายหลังทรงพ่ายแพ้ไทยในสงครามเก้าทัพ มหาเจดีย์อันยิ่งใหญ่ในพระราชหฤทัยของพระองค์จึงปรากฎเพียงแค่หลักฐาน ทว่าใหญ่ใหญ่โตมหึมาดั่งภูเขาอิฐที่มีความมั่นคงถึง 50 เมตร ซึ่งหากสร้างเสร็จตามแผน จะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลก สูงถึง 152 เมตร ส่วนรอยแตกร้าวฉานตรงกลางฐานเกิดจากแผ่นดินไหวในปี พ.ศ. 2381
ระฆังสำริดมิงกุน (Mingun Bell) เป็นระฆังยักษ์ที่พระเจ้าปดุงทรงสั่งให้สร้างขึ้นมาในปี พ.ศ. 2351 เพื่อนำไปไว้ในเจดีย์มิงกุน ซึ่งระฆังสร้างนั้นสร้างเส็จก่อนเจดีย์ มีเรื่องเล่ากันว่า พระเจ้าปดุงทรงสั่งให้ประหารชีวิตช่างทันทีที่สร้างเสร็จ เนื่องจากพระองค์กลัวว่าช่างจะไปสร้างระฆังแบบนี้ให้กับคนอื่น ระฆังมินกุงเป็นระฆังที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อันดับหนึ่งอยู่ที่พระราชวังเครมลิน ประเทศรัสเซีย แต่ถ้านับเป็นชนิดแขวนแล้วสามารถตีดัง คนเมียนมาร์บอกว่า ระฆังมินกุนเป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะอันที่อยู่ทีเครมลินจะตีไม่ได้ เพราะยกไม่ขึ้น ระฆังมินกุนมีความสูง 12 ฟุต และวัดปากขอบยาว 16 ฟุต 3 นิ้ว หนัก 90 ตัน เชื่อกันว่าถ้าใครได้ไปตีระฆังมิงกุน จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล
เจดีย์ชินพิวเม (Hsinbyume Pagoda) หรือที่นักท่องเที่ยวเรียกกันว่า “ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี” เจดีย์แห่งนี้ สร้างขึ้นโดยพระเจ้าพะคยีดอว์ หรือ พระเจ้าบาจีดอว์ (หรือพระเจ้าจักกายแมง) พระราชนัดดาของพระเจ้าปดุง ที่เรียกว่าทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดีก็เพราะว่า เจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก ที่มีต่อพระชายาชินพิวมิน พระชายาองค์แรกที่เสียชีวิตลงในขณะที่คลอดบุตร เมื่อปี พ.ศ. 2355 พระเจ้าพะคยีดอว์ ทรงเสียพระทัยมาก จึงสร้างเจดีย์แห่งนี้ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2359 แล้วตั้งชื่อตามพระนามของพระชายา
เจดีย์องค์นี้เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยหลักภูมิจักรวาล คือมีองค์เจดีย์สถิตอยู่ตรงกลาง ณ ยอดเขาเมรุ อันเชื่อกันว่า เป็นศูยน์กลางของโลกและจักรวาล ล้อมรอบด้วยขุนเขาและมหาสมุทรตามหลักไตรภูมิ ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของเจดีย์แห่งนี้คือเกลียวคลื่นสีขาว 7 ชั้น ที่ล้อมรอบองค์พระเจดีย์ เจดีย์องค์นี้ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว เช่นดียวกับเจดีย์องค์ใหญ่มิงกุน แต่รัฐบาลเขตมัณฑะเลย์ได้บูรณะขึ้นใหม่ จนมีความสวยงามดังเดิม
ในขณะที่สมรสกับพระชายาชินพิวมิน พระเจ้าพะคยีดอว์มีอายุเพียง 18 ปี ส่วนพระชายาชินพิวมินนั้นมีอายุเพียงแค่ 14 ปีเท่านั้น และในตอนนั้นพระองค์ยังทรงดำรงตำแห่งเป็นเพียงองค์รัชทายาท หรือมกุฎราชกุมารแห่งสกายน์ เรียกว่าเป็นรักแรกเลยก็ว่าได่ แต่ในเวลาต่อมาก็ทรงมีชายาอีก 5 องค์ (รวมทั้งหมด 23 องค์หลังจากขึ้นครองราชย์) ซึ่งพระชายาองค์ที่ 3 ก็คือ พระนางเมห์นู (ผู้เป็นยายของพระนางศุภยลัต) เมื่อพระเจ้าพะคยีดอว์ขึ้นครองราชย์ เป็นพระเจ้าจักกายแมง พระมเหสีเมห์นูได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพระมเหสี แต่เนื่องจากพระเจ้าพะคยีดอว์นั้นเป็นคนที่อ่อนโยนและมีความอ่อนแอ พระมเหสีเมห์นูจึงร่วมมือกับมินตาจี พี่ชายของตัวเอง เป็นผู้กุมอำนาจอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ และเป็นที่มาแห่งการสูญเสียดินแดนหลายแห่ง จนพระเจ้าพะคยีดอว์ทรงเสทือนพระทัย จนอาการทางประสาทกำเริบในตอนปลายรัชสมัย
วัดพระมหามัยมุนี (Mahamuni) คนเมียนมาร์ออกเสียงว่า “มหาเมียะมุนี” เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของเมียนมาร์ บางทีคนไทยเราก็เรียกว่า พระพุทธรูปเนื้อนิ่ม เพราะว่ามีการปิดทองกันมาร้อยปีจนเมื่อกดดูจะเห็นเลยว่าเนื้อพระพุทธรูปนั้นนิ่มยุบลงไป ชาวเมียนมาร์เชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีลมหายใจ ดังนั้นทุกๆเช้า เวลา 04.00 น. จะมีพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบ ใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์ เสมือนแปรงพระทนต์ถวาย แล้วมีการนำผ้ามาเช็ด ใช้พัดทองโบก เสมือนปฏิบัติกับองค์พระพุทธเจ้า
รวมค่าใช้จ่ายสำหรับวันนี้
• ค่าแท็กซี่จาก The Link 83 Mandalay Boutique มาท่าเรือ 6000 จ๊าท
• ค่าเรือไปมินกุงคนละ 5000 จ๊าท
• ค่าเข้าชมเมืองมินกุง 5000 จ๊าท
• ค่าเหมาแท็กซี่จากท่าเรือ – วัดพระมหามัยมุนี – The Link 83 Mandalay Boutique รวม 15000 จ๊าท