ประเภทของพรม พรมเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งภายในบ้านที่ช่วยเติมเต็มความสวยงามทำให้บ้านดูอบอุ่นน่าอยู่มากขึ้น การเลือกพรมแต่งบ้าน วิธีทำความสะอาดพรม
ประเภทของพรม
1. พรมเปอร์เซีย (Persian carpet / Iranian rugs)
เป็นพรมที่ถือกำเนิดขึ้นจากประเทศอิหร่าน ในยุคสมัยอาณาจักรเปอร์เซียโบราณ เมื่อราวๆ ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ซึ่งในสมัยนั้นอาณาจักรเปอร์เซียมีความยิ่งใหญ่ มั่งคั่งและเต็มไปด้วยวัฒนธรรมต่างๆอย่างมากมาย พรมเปอร์เซียได้ถูกถักทอขึ้นอย่างปราณีต และได้ถูกถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ของคนในยุคสมัยนั้นขึ้นมาบนผืนผ้า ทำให้พรมเปอร์เซียมีความหรูหรา ราคาแพง พรมเปอร์เซียนั้นเหมาะสำหรับการตกแต่งห้องรับแขก ซึ่งจะสะท้อนถึงรสนิยมของเจ้าของบ้าน
2. พรม inlaid rugs
เป็นพรมที่ไม่มีรูปแบบตายตัว นักออกแบบสามารถออกแบบได้ตามจินตนาการ ซึ่งพรมชนิดนี้สามารถเลือกใช้วัสดุที่แตกต่างมาผสมผสานกัน ทำให้มีความทันสมัย แปลกตา จนสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนได้
3. พรมดักฝุ่น
เป็นพรมที่เน้นการใช้งานเป็นหลัก ไม่เน้นการดีไซน์หรือความสวยงาม พรมชนิดนี้สามารถช่วยดักจับฝุ่นละอองต่างๆภายในบ้านได้เป็นอย่างดี วัสดุที่ใช้เป็นใยสังเคราะห์ที่เน้นอายุการใช้งาน และมีราคาไม่แพงนัก
4. พรมอัด
เป็นพรมที่พบเห็นอยู่ตามงานแสดงหรืองานออกบูธต่างๆ เนื่องจากราคาไม่แพงจึงนิยมนำพรมอัดมาใช้กับสำนักงาน
ประเภทของพรม carpet กับ rug แตกต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างระหว่าง carpet กับ rug สามารถอธิบายได้จากขนาดและการติดตั้ง
carpet จะคลุมพื้นที่ทั้งหมดและเป็นแบบยึดติดแน่นกับพื้น ส่วน rug มักจะมีขนาดเล็กกว่าพื้นที่ห้อง จะคลุมพื้นที่เพียงส่วนหนึ่งของห้องเท่านั้น rug และไม่ได้ยึดติดกับพื้น สามารถเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้
การเลือกพรมแต่งบ้าน
• ควรคำนึงถึงพื้นที่ในบ้านก่อนว่าจะวางพรมไว้ตรงจุดใดของห้อง
• ควรเลือกพื้นที่ที่ไม่มีการใช้งานหนัก สกปรกง่าย
• ไม่ควรปูพรมยาวติดต่อกันเกินไป เพราะพรมทำมาวัสดุที่ติดไฟได้ง่าย
การเลือกสีของพรม มีหลักการง่ายๆ ดังนี้
– พรมที่มีสีอ่อน ข้อดีคือทำให้ห้องดูสว่างและกว้างขึ้น ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สบายตาไม่รู้สึกว่าเป็นทางการเกินไป ข้อเสียคือสามารถมองเห็นคราบสกปรกได้ง่าย เมื่อโดนแสงแดดบ่อยๆ หรือใช้ไปนานๆ สีของพรมจะไม่สม่ำเสมอ
– พรมที่มีสีเข้ม ทำให้ห้องดูมืดขรึมเป็นทางการ และมองไม่เห็นคราบสกปรก
– พรมที่มีลักษณะเป็นลวดลาย สามารถให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปตามลวดลายนั้นๆ ขึ้นอยู่กับรสนิยม และความพอใจของเจ้าของบ้าน
ประโยชน์ของพรม
1. ช่วยตกแต่งห้องให้มีความโดดเด่นสวยงาม ทำให้มีเอกลักษณ์ของห้องนั้นๆ ทำให้รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว
2. ให้ความนุ่มสบายของเท้า
3. ช่วยดูดซับเสียงภายในห้อง หรือลดปริมาณเสียงรบกวนจากภายนอกบ้าน
4. ป้องกันการลื่นล้มของคนในบ้าน
5. ช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่ายของเครื่องปรับอากาศ
วิธีทำความสะอาดพรม
พรมเป็นของตกแต่งบ้านที่เกิดความสกปรกขึ้นได้ง่าย เนื่องจากมันวางอยู่บนพื้น และเราต้องเหยียบพรมไปมาตลอดนั่นเอง จึงเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรก จนทำให้บ้านมีกลิ่นอับชื้น แต่ก่อนที่จะทำความสะอาดเราต้องรู้ก่อนว่าพรมผืนนั้นทำมาจากวัสดุอะไร เพราะการทำความสะอาดพรมแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน
พรมที่ทำมาจากใยสังเคราะห์ ควรเริ่มจากการใช้เครื่องดูดฝุ่น มาดูดฝุ่นให้ทั่วทั้งผืนก่อน ถ้ายังมีคราบสกปรกหลงเหลืออยู่ ให้นำน้ำอุ่น 1 แกลลอน ผสมกับน้ำยาล้างจาน ¼ ถ้วย แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นให้นำแปรงสีฟันมาจุ่มให้ชุ่ม แล้วใช้แปรงสีฟันถูกวนเป็นวงกลมตรงรอยเปื้อนบนพรม จนคราบสกรกหลุดออกไป จากนั้นนำผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ มาเช็ดอีกรอบ แล้วใช้พัดลมเป่าให้แห้ง
วิธีดูแลพรม และวิธีทำความสะอาด
1. การดูดฝุ่นพรม ควรที่จะดูดฝุ่นบนพรมประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ สำหรับบ้านหลังไหนมีสัตว์เลี้ยงก็ควรหมั่นดูดฝุ่นเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันการหมักหมมของสิ่งสกปรกต่างๆ
2. เมื่อไหร่ก็ตามที่พรมมีกลิ่นอับหรือเปียกชื้น ให้รีบเปิดหน้าต่างไว้เพื่อเป็นการระบายอากาศ และความอับชื้นออกไป จากนั้นก็ให้นำเบกกิ้งโซดาโรยบนพรม ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อครบกำหนดเวลาแล้วก็ให้ทำการดูดฝุ่นออกให้หมด
3. หากมีน้ำหรือของเหลวต่างๆ หกรดบนพรม ให้นำผ้าหรือกระดาษทิชชู่ค่อยๆ ซับลงไปบริเวณที่เปียก ไม่ควรที่จะเช็ดแบบถูไปมา เพราะมันจะยิ่งเป็นการกระจายความสกปรกออกไปเป็นวงกว้าง หลังจากนั้นก็ให้นำน้ำยาทำความสะอาดพรมมาเช็ดทำความสะอาดพรมอีกครั้งหนึ่ง
4. หากไม่มีน้ำยาทำความสะอาดพรม ลองใช้ของที่มีอยู่ในครัว นั่นก็คือ น้ำส้มสายชูกับเบกกิ้งโซดา หลังจากซับเอาของเหลวที่หกบนพรมออกให้มาที่สุดแล้ว ให้ใช้น้ำสายชูพรมลงไปบนคราบสกปรก แล้วโรยเบกกิ้งโซดาลงไป น้ำส้มสายชูกับเบกกิ้งโซดาจะทำปฏิกริยากันจนเกิดฟองอากาศขึ้นมา ทิ้งไว้อย่างประมาณ 30 นาที ใช้เครื่องดูดฝุ่นมามาดูดออก ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ มาเช็ดอีก 2-3 รอบ แล้วใช้พัดลมเป่าให้แห้ง
5. ถ้าพรมมีรอยกดทับจากเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ เราสามารถทำให้มันกลับคืนมาสู่สภาพเดิมได้ง่ายๆ เพียงแค่นำก้อนน้ำแข็งมาวางไว้บนรอยกดทับโดยที่เราจะทิ้งให้น้ำแข็งเหล่านั้นละลายไปเอง เมื่อน้ำแข็งละลายหมดแล้วก็ค่อยน้ำแปรงขนนุ่มค่อยแปรงบริเวณรอยกดทับเพื่อให้ขนของพรมนั้นขึ้นฟู และกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ
6. หากเราไม่ต้องการให้สีของพรมเราซีดจาง หรือต้องการให้พรมดูสีสวยสดอยู่ก็ควรที่จะวางพรมให้ห่างจากแสงแดด นอกจากนี้ยังช่วยให้พรมมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นอีกด้วย
ไอเดียแต่งบ้านเจ๋งๆ ในการตกแต่งพื้นที่ขนาดเล็ก